Thoughts about planning

PanaEk Warawit
1 min readSep 3, 2023

--

“Plans are useless, but Planning is Indispensable.”

วลีนี้ผมอ่านเจอครั้งแรกในหนังสือ Goals! ของ Brian Tracy แล้วก็ Highlight เอาไว้ใน Kindle ผ่านมาหลายปี พอเริ่มใช้ Readwise เจ้าวลีนี้ก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นในตอนรีวิว

ตอนแรกก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนักหรอก แต่ได้พบเห็นหลายๆ เหตุการณ์ก็ทำให้ต้องย้อนกลับมาดูที่มาของ Quote นี้ใหม่ ซึ่งมันมาจากนายพล EISENHOWER ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และทำให้ชอบวลีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

โดยปกติผมเป็นคนวางแผนเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นแผนการยิ่งใหญ่อะไรมากมายนักหรอก แต่มีการคิดล่วงหน้าในแทบจะทุกเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

การวางแผนมันคือการพาตัวเองเดินล่วงหน้าไปในอนาคต วาดภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้น คาดหวังเรื่องราวเหตุการณ์และผู้คนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรืออยากให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็คิดเอาว่า ต้องทำอะไรในตอนไหน ให้เหตุการณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นไปในแนวทางที่เราต้องการ

จำไม่ได้เหมือนกันว่าเริ่มนิสัยนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เห็นนิสัยนี้ของตัวเองตอนจะแต่งงาน ตอนนั้นอายุ 24 เพิ่งเรียนจบ และสมัยนั้นไม่มีอาชีพ wedding planner ต้องทำทุกอย่างเอง มันเยอะหลายอย่างก็เลยจดไว้ใน organizer ที่เป็นเล่ม

ทำมาจนเป็นนิสัยกว่า 30 ปีแล้ว ตอนนี้กลายเป็นคนวางแผนแทบจะทุกอย่างอยู่ในหัว จะออกจากบ้านกี่โมง แวะที่ไหนบ้าง กินอาหารอะไร จะคุยกับใครเรื่องอะไรบ้าง จะพูดอย่างไรในที่ประชุม 80–90% อยู่ในหัวก่อนเสมอ

และบ่อยครั้งมาก ที่สิ่งที่คิด ที่คาดไว้ ไม่ได้เป็นไปตามแผน บางทีก็ตัวเราเอง ทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ บางทีสถานการณ์เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่คาด บางทีคนอื่นรอบตัวไม่ได้ทำตัวอย่างที่เราคาดเอาไว้ สารพัดจะเกิด ไม่รู้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน แต่ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป

การวางแผนเป็นประจำ พบกับเหตุการณ์ที่มัน “ไม่เป็นไปตามแผน” เป็นประจำ มันสร้างภูมิคุ้มกัน มันทำให้เราไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป บางทีก็คิดแผนสำรองเผื่อเอาไว้เสียด้วย หรือไม่ก็ “เผื่อ” เอาไว้หลายรูปแบบ เผื่อเวลา เผื่อเงิน เผื่อความรู้สึก

การวางแผน ทำให้เราไม่เครียด ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็ตาม

เข้มงวดกับตัวเอง ผ่อนปรนกับคนอื่น

แน่นอนว่าการที่เป็นคนวางแผนไปกับทุกเรื่องในชีวิต มันคงทำให้เครียดน่าดู ก็อาจจะจริง เอาเป็นว่าเป็นคนจริงจังกับหลายๆ เรื่องในชีวิต

พออายุเพิ่มมากขึ้น ก็ได้เรียนรู้อีก 2 อย่างคือ

  • แต่ละเรื่องในชีวิตมีความสำคัญไม่เท่ากัน เราต้องไม่ทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต การเดินทางไปเยี่ยมบ้านภรรยาที่ต่างจังหวัด ถึงแม้เราจะกำหนดเวลาเอาไว้แล้ว แต่จะล่าช้าโอ้เอ้ไปบ้างซัก 2–3 ชั่วโมง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ความยืดหยุ่นในแผนมันมีมากขึ้นในใจของเราเอง
  • เข้มงวดกับตัวเอง ผ่อนปรนกับคนอื่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดเหมือนเรา มีนิสัยเหมือนกันกับเรา แม้แต่คู่ชีวิตเราเอง เราสามารถเข้มงวดกับตัวเองได้มากเท่าที่ต้องการ แต่เราต้องผ่อนปรนกับผู้อื่น อย่าไปหงุดหงิดกับเขา เพียงเพราะว่าเขาไม่ทำตามแผนที่เราวางไว้ บ่อยครั้งที่ผมพบว่า การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มีความสำคัญไม่แพ้ (และหลายครั้งมาก สำคัญกว่า) การบรรลุตามแผนเสียอีก

หาจุดสมดุลของตัวเอง

หวังว่าโพสต์นี้จะบ่งบอกความคิดของคนคนหนึ่งได้บ้าง ใครที่มีคนรู้จักเป็นนักวางแผน คนที่มักเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังกับเรื่องต่างๆ เขาอาจจะเป็นคนอย่างผมก็ได้ หรือบางคนอาจจะเป็นคนตรงกันข้ามสุดชีวิต คนที่ชอบทำอะไรแบบชิลด์ๆ แบบไม่ต้องเตรียมอะไรมาก ก็เป็นแนวคิดอีกแบบหนึ่ง

ขอแค่เข้าใจตัวเองว่าเป็นคนแบบไหน เข้าใจคนใกล้ตัวเรา และหาจุดสมดุลของตัวเอง จุดสมดุลของความสัมพันธ์ในแต่ละเรื่อง ก็น่าจะทำให้เราหาความสุขในแต่ละวันได้ไม่ยาก

Originally published at http://pwarawit.wordpress.com on September 3, 2023.

--

--

No responses yet